วิจัยในชั้นเรียน 1/2559

เรื่อง       การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา  บัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า  ของนักเรียนระดับ        ประกาศนียบัตรวิชีพ  (ปวช.)  ชั้นปีที่  2  (ห้อง ชพบ.2/5)  สาขาวิชาการบัญชี โดยใช้การสอนซ่อมเสริม

ชื่อผู้วิจัย                นางสาวสุนิสา  รัตนประยูร

สาขาวิชา               การบัญชี

ปีการศึกษา           1 / 2559

1.  ความเป็นมาของการวิจัย  (สภาพปัญหา)

                   พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเนื้อหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน  โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล  ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไข จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้  คิดเป็น ทำเป็นรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง  จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆอย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม   ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในรายวิชา

                   นอกจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้กำหนดนโยบายมาตรฐานหลักสูตรอาชีวศึกษาทุกระดับ เพื่อสร้างคุณภาพมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานความต้องการทางด้านกำลังคน อาชีพ การพัฒนาระบบคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อมุ่งพัฒนาหลักสูตรจากมาตรฐานอาชีพ (Occupation Standard)  มาตรฐานสมรรถนะ (Competency Standard) มาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ (Vocational Education Standard) มาตรฐานสถานศึกษา (Institutional Standard) โดยการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี  โดยเฉพาะการนำวิจัยเข้าปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action  Research)  มาใช้  เพื่อให้ครูมีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพที่จะปรับให้มีการบูรณาการทฤษฎีและปฏิบัติ ครูจึงจำเป็นต้องดำเนินการวิจัยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จริง  อันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนสูงขึ้น   

                วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย  มีนโยบายให้ครูผู้สอน นำวิจัยในชั้นเรียนไปใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเรียน  เพื่อลดปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนต่ำ ไม่สนใจเรียน ขาดความรับผิดชอบ ซึ่งวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) เป็นวิชาที่ต้องทำความเข้าใจและหมั่นศึกษาหาความรู้และที่ผ่านมาการสอนวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) ประสบปัญหานักเรียนขาดความรับผิดชอบ อันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ในฐานะครูผู้สอนและรับผิดชอบวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) จึงใช้การสอนซ่อมเสริม  เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้น

 

2.  วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิจัย

  1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 (ชพบ. 2/5) สาขาวิชาการบัญชี โดยใช้การสอนซ่อมเสริม 
  2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการเรียน

 

3. สมมติฐานของการวิจัย

                             นักเรียนที่เรียน โดยใช้การสอนซ่อมเสริม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

 

4. ขอบเขตของการวิจัย

                  ประชากร  ที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่  นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ  ชั้นปีที่  2  (ห้อง ชพบ.2/5)  สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย  ภาคเรียนที่  1  ปีการศึกษา  2559  จำนวน  29  คน

 

5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                   5.1  เป็นการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่  2  (ห้อง ชพบ.2/5)  สาขาวิชาการบัญชี ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

                   5.2  เป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่  2  (ห้อง ชพบ.2/5)  สาขาวิชาการบัญชี มีความรู้ ความเข้าใจในวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) มากขึ้น

                   5.3  เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2  (ห้อง ชพบ.2/5) สาขาวิชาการบัญชี ที่เรียนโดยใช้การสอนซ่อมเสริม

 

6.  วิธีการดำเนินการวิจัย

                6.1 เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย

                               6.1.1  แบบฝึกหัด 

                               6.1.2  สร้างแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ   4   ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 2 ฉบับ

                                6.1.3  นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับชั้นปีที่ 2  (ห้อง ชพบ.2/5) สาขาวิชาการบัญชี จำนวน 29 คน ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย  อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงราย

                               

7.   การเก็บรวบรวมข้อมูล

                   ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากการสอนซ่อมเสริมตามขั้นตอน ดังนี้

  1. ผู้วิจัยได้ดำเนินการให้นักเรียน จำนวน 29 คน ทำแบบทดสอบก่อนทำการสอนซ่อมเสริม หลังจากนั้นครูทบทวนเนื้อหาที่เคยเรียน ซึ่งเนื้อหาที่ต่อเนื่องกับเนื้อหาใหม่ที่จะเรียน

                   2.  ผู้วิจัยได้นำวิธีการสอนซ่อมเสริมมาใช้พัฒนาการจัดการเรียนการสอน วิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001)  ดังนี้

                                2.1  ผู้วิจัยให้นักเรียนแบ่งกลุ่มโดยคละความสามารถ โดยการแบ่งสมาชิกในห้องออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 - 5 คน ในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย นักเรียนทั้งเก่ง ปานกลางและอ่อน แต่ละกลุ่มจะมีทั้งนักเรียนชายและหญิง 

                                2.2  หลังจากนั้นผู้วิจัยให้ความรู้หรือเนื้อหาใหม่  โดยดำเนินการสอนตามจุดประสงค์ที่วางไว้

                   3.  ผู้วิจัยมอบหมายให้นักเรียน จัดทำแบบฝึกหัดโดยครูผู้สอนเป็นผู้กำหนดแบบฝึกหัด และให้คำแนะนำนักเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น และตรวจให้คะแนนแบบฝึกหัด

                   4. นำแบบทดสอบ มาวัดว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้มากน้อยเพียงใด โดยให้นักเรียน ทำแบบทดสอบหลังการสอน

                   5.  ผู้วิจัยได้สรุปผลจากแบบทดสอบก่อน-หลังการเรียน นำมาเปรียบเทียบเรียงลำดับคะแนนมากน้อย  แล้วนำคะแนนมาวิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติ 

8.   การวิเคราะห์ข้อมูล

                   8.1  ผู้วิจัยได้สรุปรวบรวมผลการจัดทำแบบฝึกหัด วิชาการบัญชีสำหรับกิจการซื้อขายสินค้า (2201-2001)  เรื่อง  การบันทึกรายการลงในสมุดรายวันเฉพาะ ผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภททั่วไปและจัดทำงบทดลอง จำนวน 2 ชุด มาตรวจให้คะแนนจากการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ข้อมูล 

                   8.2  หลังจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การสอนซ่อมเสริม นำแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน  โดยการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน

 

9.  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

                   1.  สถิติพื้นฐาน  ได้แก่

                                1.1  ค่าร้อยละ     

                                1.2  ค่าเฉลี่ย  (Mean)  ของคะแนนใช้สูตร  (บุญชม  ศรีสะอาด.  2545 : 105)

                                1.3  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)

                                1.4  สถิติ t – test แบบ dependent

 

10.   ผลการวิจัย

        จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล  สามารถนำผลการวิจัยมาอภิปรายผล  ได้ดังนี้

                   จากผลการวิจัยด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน  เมื่อใช้การสอนซ่อมเสริมนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าที่สอนแบบปกติ  ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ นั่นคือ ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยการสอนซ่อมเสริมทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น รวมทั้งนักเรียนมีพัฒนาการด้านทักษะการวิเคราะห์รายการค้าและสามารถบันทึกบัญชีได้ดีขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาการเรียนของนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำได้ 

 

ก่อนเรียน

 

Value

Count

Percent

Standard Attributes

Position

1

 

 

Label

 

 

Type

Numeric

 

 

Format

F8

 

 

Measurement

Nominal

 

 

Role

Input

 

 

Valid Values

2

 

1

3.3%

3

 

1

3.3%

4

 

2

6.7%

5

 

7

23.3%

6

 

9

30.0%

7

 

8

26.7%

8

 

1

3.3%

Missing Values

System

 

1

3.3%

 

ตารางที่  1  แสดงร้อยละ ของคะแนนก่อนเรียน (Pretest)

           

จากตารางที่ 1  สรุปผลการวิจัยในภาพรวม พบว่านักเรียนจำนวน 29 คน มีคะแนนในการทำแบบฝึกหัด ก่อนเรียน (Pretest) ส่วนใหญ่ได้ 6 คะแนน มี 9 คน คิดเป็นร้อยละ 30.0 รองลงมา คือ 7 คะแนน  มี 8 คน คิดเป็นร้อยละ 26.70

 

หลังเรียน

 

Value

Count

Percent

Standard Attributes

Position

2

 

 

Label

 

 

Type

Numeric

 

 

Format

F8

 

 

Measurement

Nominal

 

 

Role

Input

 

 

Valid Values

7

 

2

6.7%

8

 

8

26.7%

9

 

14

46.7%

10

 

5

16.7%

Missing Values

System

 

1

3.3%

 

ตารางที่  2  แสดงร้อยละ ของคะแนนหลังเรียน (Posttest)

 

จากตารางที่ 2  สรุปผลการวิจัยในภาพรวม พบว่านักเรียนจำนวน 29 คน มีคะแนนในการทำแบบฝึกหัด หลังเรียน (Posttest) ส่วนใหญ่ได้ 9 คะแนน มี 14 คน คิดเป็นร้อยละ 46.70  รองลงมา คือ 8 คะแนน  มี 8 คน คิดเป็นร้อยละ 26.70

 

Paired Samples Statistics

 

Mean

N

Std. Deviation

Std. Error Mean

Pair 1

ก่อนเรียน

5.72

29

1.33

.25

หลังเรียน

8.76

29

.83

.15

 

ตารางที่  3  แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

 

จากตารางที่ 3  สรุปผลการวิจัยในภาพรวม พบว่านักเรียนจำนวน 29 คน มีคะแนนเฉลี่ยในการทำแบบฝึกหัดก่อนเรียน (Pretest) mean = 5.72  , S.D. = 1.33  หลังเรียน (Posttest) mean = 8.76  , S.D. = 0.83

แสดงว่า  นักเรียนมีการพัฒนาในด้านการเรียนหลังเรียนดีขึ้น กว่าก่อนเรียน

 

Paired Samples Test

 

Paired Differences

t

df

Sig.

(2-tailed)

Mean

Std. Deviation

Std. Error Mean

95% Confidence Interval of the Difference

Lower

Upper

Pair 1

ก่อนเรียน –

หลังเรียน

3.034

1.451

.269

-3.586

2.482

11.261

28

.00

**P < .001

 

ตารางที่  4  แสดง t – test  เปรียบเทียบระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

 

                      จากตารางที่ 4  จากการวิเคราะห์ด้วยสถิติ t – test ในภาพรวมพบว่า จากค่าเฉลี่ยในตารางที่ 3 นักเรียนมีผลการเรียนหลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน  แสดงว่ายอมรับและเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < .01 ( t = 11.261 )

 

11. สรุปผลการวิจัย

                   จากผลการวิจัย สรุปในภาพรวม ผลที่ได้คือสอดคล้องตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ แบบฝึกหัดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นบทเรียนประเภทสอดแทรกเนื้อหาของบทเรียน ซึ่งผู้วิจัยได้ออกแบบและเสนอเนื้อหาในหน่วยย่อย ๆ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความยากง่าย กิจกรรมการเรียนจึงคล้ายกับการเรียนการสอนจริงในชั้นเรียน               

 

12.  ข้อเสนอแนะ

                   12.1. ข้อเสนอแนะทั่วไป

                                12.1.1  การสอนซ่อมเสริมแต่ละครั้ง  ควรให้นักเรียนแต่ละคนมีความตั้งใจร่วมปฏิบัติตามกิจกรรมที่ครูผู้สอนกำหนด และทำแบบฝึกหัดด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง

                                12.1.2  ควรสอนซ่อมเสริมกับเนื้อหาที่นักเรียนไม่เข้าใจ  เพราะจะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

 


0


150522141408

: ผู้ใช้ลงทะเบียน
การบัญชี